การให้ความรู้จาก
การเข้าร่วมอบรมโครงการป้องกันและแก้ปัญหาตั้งครรภ์ไม่พร้อมของนักเรียนนักศึกษา จัดโดยคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์
วันที่ 31 กรกฎาคม 2556
รวบร่วมโดย
รุ่งนภา คันธนู
การทบทวนองค์ความรู้
การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น
ปัจจุบันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นมีอัตรามากถึงร้อยละ
16 /ปี /การคลอดทั้งหมด และมีวัยรุ่นคลอดประมาณ 336
คน/วัน (ข้อมูลปี 2552) อายุของวัยรุ่นก็น้อยลงทุกที
คืออยู่ระหว่าง 15-17 ปี สาเหตุที่เกิดการตั้งครรภ์
ก็ล้วนมาจากพฤติกรรมและเพศสัมพันธ์ที่เสี่ยง หรือถูกข่มขืน
วัยรุ่นที่ท้องไม่พร้อมมักเป็นการตั้งครรภ์นอกสมรส จึงเกิดการปกปิดปัญหา
ไม่อยากฝากครรภ์ ไม่บำรุงครรภ์เพราะกลัวจะเห็นได้ชัดเจน
หรืออาจเลยไปจนถึงการทำแท้ง และอันตรายถึงชีวิตจากการทำแท้งเถื่อน
หรือถ้าคลอดแม่ก็ยังไม่มีวุฒิภาวะที่จะดูแลบุตรได้ ทำให้เกิดปัญหาและผลกระทบตามมาอีกมากมายซับซ้อนทั้งต่อครอบครัวและสังคมต่อไปในอนาคต
การที่เด็กมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรนั้นมีสาเหตุมาจาก
1.เด็กไม่ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากพ่อแม่ โดยเฉพาะไม่ได้รับการฝึกฝนให้ดูแลตนเองเกี่ยวกับอนามัยเจริญพันธุ์
เช่น การรักษาความสะอาดร่างกาย
อวัยวะเพศการปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับการทำงานของฮอร์โมนเพศ เช่น
เข้าใจการเกิดอารมณ์เพศ ว่ามีที่มาอย่างไร
ปัจจัยใดบ้างที่สามารถกระตุ้นเร้าอารมณ์เพศและการไต่ระดับของอารมณ์เพศของหญิงและชายว่าแตกต่างกันอย่างไร
ทั้งนี้ จะทำให้เด็กสามารถป้องกันตนเอง
ไม่ให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่จะถูกกระตุ้นเร้าอารมณ์ทางเพศ
จนไม่สามารถควบคุมตนเองในเรื่องเพศได้
เรื่องนี้มีความสำคัญยิ่งกว่าการสอนเด็กเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย
2.เด็กไม่มีความรักผูกพันกับพ่อแม่ ขาดความรู้สึกผูกพันเข้าถึงอารมณ์จิตใจ
ซึ่งกันและกัน เด็กจึงไม่มีความสุขขณะอยู่ที่บ้าน
รวมทั้งพ่อแม่ก็ไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีเมื่อลูกอยู่บ้าน
ขัดแย้งซึ่งกันและกันเป็นปกติวิสัย
จนไม่สามารถสื่อสารทำความเข้าใจอารมณ์จิตใจของกันและกัน
3.เด็กไม่รู้เท่าทันอารมณ์เพศของตนเอง ไม่ตระหนักถึงภัยทางเพศ
เมื่อถูกกระตุ้นให้เกิดอารมณ์เพศ ทั้งนี้
เพราะเด็กขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องปัจจัยที่สามารถเร้าอารมณ์เพศ
ว่าเป็นอย่างไร
ทำให้เด็กตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกกระตุ้นเร้าอารมณ์เพศโดยไม่รู้เท่าทัน
ทั้งนี้เด็กวัยรุ่นมักเกิดอารมณ์เพศได้ง่าย เพียงแต่คิดถึงเรื่องเพศ
เพราะฮอร์โมนเพศในกระแสโลหิตของวัยรุ่นมีความเข้มข้นมากกว่าวัยอื่นๆ
ดังนั้นการสอนเรื่องเพศสัมพันธ์ หรือส่งเสริมให้เด็กพกถุงยางอนามัยหรือกินยาคุมกำเนิด
จึงเท่ากับกระตุ้นให้เด็กหมกมุ่นเรื่องเพศโดยตรง
ดังนั้นการแก้ไขป้องกันปัญหาในเรื่องนี้ จึงต้องเพิ่มโอกาสให้เด็กได้ทำกิจกรรมสร้างสรรค์พัฒนาตนด้านต่างๆ
โดยเฉพาะกิจกรรมอาสาสมัครบำเพ็ญประโยชน์
เพื่อให้เด็กสนใจความเป็นตายร้ายดีของคนอื่นรู้จักคิด
เพื่อช่วยเหลือคนอื่นมากกว่าคิดถึงตนเองหรือหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องของตน
4.เด็กไม่รู้จักวางตนหรือไม่สามารถกำหนดขอบเขตในการมีปฏิสัมพันธ์
ทางสังคมกับเพศตรงข้ามให้สอดคล้องกับความสัมพันธ์ทางสังคม เช่น
ไม่สามารถวางตนให้แตกต่างในการคบเพื่อนต่างเพศและคบในฐานะคนรัก
ทั้งนี้เพราะผู้ปกครองมักจะห่างเหินจากลูกวัยรุ่นและไม่ได้
พาลูกเข้าสังคมร่วมกับตน เช่น ไปเยี่ยมญาติหรือครอบครัวเพื่อนๆ
ไปร่วมปฏิบัติกิจกรรมทางสังคมต่างๆ ร่วมงานบุญ งานประเพณี งานศิลปวัฒนธรรม
ทำกิจกรรมทางศาสนา ฯลฯ ทั้งที่การชักชวนเด็กไปร่วมกิจกรรมข้างต้น
จะช่วยพัฒนาทักษะทางสังคมโดยเฉพาะความสามารถในการวางตนที่เหมาะสมของเด็กได้เป็นอย่างดี
5.เด็กขาดการช่วยเหลือชี้แนะจากพ่อแม่ ให้สร้างทักษะในการจัดการกับอารมณ์เพศได้อย่างสร้างสรรค์แทนการมีเพศสัมพันธ์
ได้แก่ การทำกิจกรรมที่ต้องออกกำลังกายและกระตุ้นให้สมองหลั่งสารความสุข เช่น
การเต้นแอโรบิก การท่องเที่ยวปีนเขา เดินป่า ดูนก เล่นกีฬาสนุก ฯลฯ
ทั้งที่กิจกรรมข้างต้นทำให้เด็กสามารถออกกำลังกายอย่างมีความสุข
ช่วยเผาผลาญฮอร์โมนความเครียดทั้งหลายรวมทั้งอารมณ์เพศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
6.เด็กวัยรุ่นมักใช้เวลาหมกมุ่นอยู่กับตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการอยู่เฉยๆ
การคิดถึงแรงดึงดูดทางเพศต่อเพศตรงข้ามของตนเอง คิดเกี่ยวกับเพศตรงข้าม
ดูโทรทัศน์เล่นเกม เข้า Internet ฯลฯ
จึงมีผลทำให้เกิดความเครียดซึ่งจะกระตุ้นฮอร์โมนเพศและอารมณ์เพศตามมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชี้แนะให้เด็กแก้ปัญหาความต้องการทางเพศด้วยการสำเร็จความใคร่ตนเอง
จะยิ่งมีผลกระตุ้นให้เด็กต้องการมีเพศสัมพันธ์จริงๆ กับเพศตรงข้ามมากยิ่งขึ้น
เพราะการสำเร็จความใคร่ตนเอง ไม่ได้ทำให้เด็กสามารถออกกำลังกายอย่างมีความสุข
จึงไม่อาจช่วยเผาผลาญฮอร์โมนความเครียดหรือลดอารมณ์เพศ ทั้งนี้เมื่อเกิดอารมณ์เพศ
ร่างกายจะหลั่งสารความเครียดต่างๆ เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อ
ให้มีพลังความแข็งแรงสำหรับการร่วมเพศ กล้ามเนื้อจะเขม็งเกลียว เกิดความตึงเครียด
ทั้งด้านร่างกายจิตใจ หัวใจเต้นเร็วและหายใจสั้นกระชั้น การร่วมเพศจริงๆ
จะมีการออกกำลังกายเผาผลาญฮอร์โมน ความเครียดและสมองหลั่งสารความสุขเมื่อสำเร็จความใคร่
แต่การสำเร็จความใคร่ตนเองไม่มีกระบวนการดังกล่าว
ดังนั้น
การพัฒนาเด็กในด้านเพศจึงควรเน้นไปที่การดูแลอย่างใกล้ชิดจากพ่อแม่
การที่พ่อแม่ให้คำปรึกษาแนะนำเรื่องการดูแลสุขภาพอนามัยทางเพศ
การปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับการเริ่มทำงานของฮอร์โมนเพศ เข้าใจเรื่องอารมณ์เพศ
ปัจจัยใดบ้างที่สามารถกระตุ้นเร้าอารมณ์เพศ
การพัฒนาเด็กให้สามารถวางตัวให้สอดคล้องเหมาะสมและมีปฏิสัมพันธ์ที่เหมาะสมกับเพศตรงข้าม
ด้วยการพาเด็กไปเข้าสังคมต่างๆ
รวมถึงการพัฒนาเด็กให้มีทักษะในการจัดการกับอารมณ์ทางเพศ ด้วยการให้เด็ก ได้ทำกิจกรรมพัฒนาตนที่ต้องออกกำลังกายและกระตุ้นให้สมองหลั่งสารความสุข
การพัฒนาเด็กดังกล่าวข้างต้นนั้น
มีความคุ้มค่าอย่างมาก ทั้งในแง่ต้นทุนที่ใช้นั้นไม่มาก
อีกทั้งยังทำให้เด็กมีความสุข ครอบครัวมีความสุข
เด็กมีพฤติกรรมดีทุกด้านโดยเฉพาะเรื่องเพศ
กล่าวโดยสรุปแล้ว
การสอนเด็กเรื่องเพศ ควรจะต้องประกอบด้วย
1.เริ่มที่การรู้จักดูแลร่างกายจิตใจตนเองเกี่ยวกับ
อนามัย เจริญพันธุ์ โดยทำให้เด็กเกิดความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับตนเองโดยเฉพาะเรื่องเพศ
2.สร้างเงื่อนไขไม่ให้เด็กวัยรุ่นหมกมุ่นกับตนเอง
การรู้จักและเท่าทันอารมณ์เพศปัจจัยที่สามารถกระตุ้นอารมณ์เพศ
การรู้จักหลีกเลี่ยงจากปัจจัย หรือสถานการณ์ที่สามารถกระตุ้นเร้าอารมณ์เพศ
3.ถ่ายทอดทักษะทางสังคม
โดยเฉพาะรู้จักในการวางตนกับเพศตรงข้าม
4.ทักษะในการทำกิจกรรมทดแทนการมีเพศสัมพันธ์
โดยไม่จำเป็นต้องใช้วิธีสำเร็จความใคร่ หรือการมี Safe sex ดังที่มีการรณรงค์อย่างกว้างขวางทางสังคม
นอกจากนั้น
การกระตุ้นส่งเสริมให้เด็กประสบความสำเร็จทางการศึกษา
โดยเน้นไปที่พัฒนาการด้านการรู้จักคิดของเด็กหรือที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า Cognitive
Development จะช่วยสร้างแรงจูงใจในการพัฒนาตนเองให้แก่เด็ก
เด็กจะมีสมาธิกับการพัฒนาตนเองแทนการหมกมุ่นในเรื่องเพศ
รวมทั้งทำให้เด็กรู้ใคร่ครวญไตร่ตรองชั่งผลดีผลเสียก่อน
จะตัดสินใจทำอะไรรู้จักตั้งข้อสังเกตคิดวิเคราะห์หาข้อสรุปด้วยตนเอง
รู้จักการวางแผนในการดำเนินชีวิตของตน
ทำให้เด็กเติบโตได้อย่างมีคุณภาพไม่มีปัญหาเรื่องเพศ